กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง สาเหตุ อาการ และวิธีแก้ไขที่ได้ผลจริง

กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง คือ

หากคุณสังเกตเห็นว่าตัวเอง หนังตาตก ตาปรือ หรือชั้นตาไม่เท่ากัน อาจเป็นสัญญาณของ กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง (Ptosis) ทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจนและดวงตาดูไม่สดใส ภาวะนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ ตั้งแต่พันธุกรรม ไปจนถึงโรคประจำตัว หากไม่ได้รับการดูแล อาจกระทบต่อการมองเห็นและคุณภาพชีวิตได้ในอนาคต

บทความนี้ BEAMS Clinic จะพาทุกคุณไปรู้จัก สาเหตุเกิดภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง และวิธีแก้ไขเบื้องต้นจนถึงศัลยกรรมผ่าตัด เพื่อให้คุณสามารถเลือกแนวทางรักษาที่เหมาะสมและคืนความมั่นใจให้ดวงตากลับมาสดใสอีกครั้งค่ะ

กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง คืออะไร? ทำไมเราต้องใส่ใจ

กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง หรือที่แพทย์เรียกว่า “Ptosis” เป็นภาวะที่หนังตาบนตกหรือหย่อนลงมากกว่าปกติ จนบดบังการมองเห็น ทำให้ตาดูปรือ ไม่สดใส และอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพสายตาในระยะยาว ภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ไม่ใช่แค่ปัญหาความงามเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ซึ่งปัจจุบันพบว่าคนวัยทำงานเป็นกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือใช้สมาร์ทโฟนเป็นเวลานาน จนกลายเป็น “โรคฮิต” ที่ซ่อนปัญหาใหญ่กว่าที่คิดค่ะ 

กล้ามเนื้อตาอ่อนแรงเกิดจากอะไร? รู้ทันสาเหตุ

สาเหตุการเกิดกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง

ภาพประกอบการโฆษณาเท่านั้น

1. สาเหตุจากพันธุกรรม (Congenital Ptosis)

กล้ามเนื้อตาอ่อนแรงแต่กำเนิด เกิดจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อยกเปลือกตา ที่ไม่พัฒนาอย่างสมบูรณ์ ทำให้เปลือกตาเปิดขึ้นได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้ตาดูตกลงมาและบังการมองเห็นได้

สาเหตุสำคัญของภาวะนี้คือ ความบกพร่องทางพันธุกรรมและการพัฒนาของกล้ามเนื้อ หากครอบครัวหรือสมาชิกมีประวัติเป็นโรคนี้มาก่อน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อลูกหลานที่จะเกิดภาวะเดียวกันได้สูงค่ะ เนื่องจากยีนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมพัฒนาการของกล้ามเนื้อเปลือกตาอาจถ่ายทอดทางพันธุกรรมโดยตรง

นอกจากพันธุกรรมแล้ว ยังอาจพบความสัมพันธ์กับความผิดปกติของเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อยกเปลือกตา ทำให้กล้ามเนื้อไม่ตอบสนองหรือมีแรงดึงไม่เพียงพอ

แต่โดยทั่วไป กล้ามเนื้อตาอ่อนแรงที่เกิดแต่กำเนิด จะมีลักษณะ…

  • เปลือกตาตกลงมาตั้งแต่แรกเกิด และมักเป็นเพียงข้างเดียว แต่บางรายอาจเกิดทั้งสองข้าง
  • เปลือกตาอาจปิดบังรูม่านตา ส่งผลให้การมองเห็นถูกจำกัด
  • เด็กบางคนต้องเงยหน้าหรือยกคิ้วขึ้นเพื่อช่วยในการมอง
  • หากรุนแรง อาจส่งผลต่อพัฒนาการด้านการมองเห็น เช่น ตาขี้เกียจ (Amblyopia) หรือสายตาเอียง นั่นเองค่ะ

2. การใช้สายตาหนักเกินไป

  • จ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือนานเกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน
  • ทำงานในที่มีแสงน้อยหรือแสงจ้าเกินไป
  • อ่านหนังสือหรือทำงานละเอียดในระยะใกล้เป็นเวลานานค่ะ

3. ผลกระทบจากอายุที่เพิ่มขึ้น

เมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้อตาจะหย่อนยานตามธรรมชาติโดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป

4. การใส่คอนแทคเลนส์เป็นประจำ

การถอดใส่คอนแทคเลนส์บ่อยครั้งอาจทำให้กล้ามเนื้อยกเปลือกตาเสื่อมสภาพได้

5. โรคกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง (Myasthenia Gravis)

เกิดจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ ร่างกายสร้างแอนติบอดี้มาทำลายการทำงานของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะสารอะซีทิลโคลีน ทำให้กล้ามเนื้อทั่วร่างรวมถึงกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง

เกร็ดความรู้ : สารอะเซทิลโคลีนเป็นสารสื่อประสาทที่มีบทบาทสำคัญต่อ การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ, การควบคุมการทำงานอวัยวะอัตโนมัติ, และ การทำงานด้านความจำและการเรียนรู้ของสมอง ของร่างกายมนุษย์และสัตว์

 

6. การบาดเจ็บหรือผ่าตัด

อุบัติเหตุที่กระทบบริเวณตา หรือผลข้างเคียงจากการผ่าตัดบริเวณหนังตาหรือตา

 

7. โรคประจำตัวอื่นๆ

7.1 โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ดี

  • เบาหวานส่งผลต่อเส้นเลือดขนาดเล็กทำให้การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงเส้นประสาทและกล้ามเนื้อลดลง
  • ในผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดี อาจทำให้เส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อรอบดวงตาถูกทำลาย ส่งผลให้เปลือกตาตกลงมา

7.2 โรคระบบประสาท (Neurological disorders)

  • โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง ซึ่งเป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง และมีอาการเปลือกตาตกที่แปรผันตามความเหนื่อยล้า
  • โรคที่เกี่ยวข้องกับเส้นประสาทสมอง (เช่น เส้นประสาทสมองคู่ที่ 3) ก็สามารถทำให้เปลือกตาตกได้เช่นกัน

7.3 เนื้องอกบริเวณตาหรือสมอง

  • เนื้องอกที่กดเบียดเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อยกเปลือกตา อาจทำให้เกิดอาการเปลือกตาตกทั้งแบบเฉียบพลันหรือค่อยๆเป็น
  • หากเป็นในเด็ก อาจปิดบังการมองเห็นจนเสี่ยงต่อภาวะตาขี้เกียจได้ค่ะ

7.4 โรคไทรอยด์ (Thyroid eye disease)

  • โดยเฉพาะในภาวะ ไทรอยด์เป็นพิษ  ที่เกี่ยวข้องกับ Graves’ disease (โรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน)
  • ทำให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาอักเสบและบวม ส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อยกเปลือกตา
  • บางรายมีตาโปนร่วมกับอาการเปลือกตาตกหรือผิดรูป

 5 อาการเตือนภัย! สัญญาณกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงที่ต้องเช็กตัวเองด่วน

เช็ก! สัญญาณเตือนกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง

ภาพประกอบการโฆษณาเท่านั้น

1. หนังตาตก ตาปรือ

สังเกตได้จากหนังตาบนตกลงมาทับตาดำมากกว่าปกติ ทำให้ดูเหมือนง่วงนอนตลอดเวลา

2. ลืมตาไม่เท่ากัน

ตาข้างหนึ่งเปิดกว้างน้อยกว่าอีกข้าง หรือลืมตาได้ไม่เท่ากันชัดเจน

3. ต้องเงยหน้าหรือเงยคิ้วเพื่อมองเห็น

เพื่อชดเชยหนังตาที่ตก ผู้ป่วยมักจะเงยหน้าหรือใช้นิ้วยกเปลือกตาเพื่อให้มองเห็นชัดขึ้น

4. สายตาเลือนราง มองไม่ชัด

เมื่อหนังตาตกมาบดบังตาดำ จะทำให้มองเห็นได้ไม่เต็มที่ ส่งผลต่อคุณภาพการมองเห็น

5. ปวดตา ตาล้า หรือปวดศีรษะ

เกิดจากการใช้กล้ามเนื้อตาและกล้ามเนื้อหน้าผากมากเกินไปเพื่อชดเชยการมองเห็น

วิธีแก้ไขกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง

การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ใช่ คือกุญแจสำคัญ ในการแก้ไขปัญหากล้ามเนื้อตาอ่อนแรงอย่างปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดค่ะ

1. วิธีรักษาแบบไม่ผ่าตัด (สำหรับอาการระดับเบา)

1.1 การออกกำลังกล้ามเนื้อตา

  • หลับตาแล้วค่อยๆ ลืมตาอย่างช้าๆ ทำซ้ำ 10-15 ครั้ง
  • กดนิ้วที่คิ้วแล้วพยายามลืมตา เพื่อฝึกกล้ามเนื้อยกเปลือกตา
  • หมุนลูกตาไปทุกทิศทาง เพื่อคลายความตึงของกล้ามเนื้อ

1.2 การพักสายตาอย่างเพียงพอ

  • ใช้กฎ 20-20-20: ทุก 20 นาที มองออกไปไกล 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที
  • หลับตาพัก 5-10 นาทีทุก 2 ชั่วโมง
  • นอนหลับให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน

1.3 การดูแลสุขภาพตา

  • ประคบตาด้วยผ้าอุ่นหรือเย็นเพื่อคลายกล้ามเนื้อ
  • ใช้น้ำตาเทียมหากรู้สึกว่าตาแห้งค่ะ
  • หลีกเลี่ยงแสงจ้า ใช้แว่นกันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้ง

 2. การรักษาด้วยยาสำหรับโรค Myasthenia Gravis (โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง)

  • ยาที่เพิ่มสารอะซีทิลโคลีน เช่น Pyridostigmine
  • ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น Corticosteroids
  • ยาปรับภูมิคุ้มกัน เช่น Azathioprine, Mycophenolate

3. การผ่าตัดแก้ไขกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง (สำหรับอาการระดับรุนแรง)

3.1 ศัลยกรรมปรับกล้ามเนื้อยกเปลือกตา

เหมาะสำหรับผู้ที่กล้ามเนื้อยกเปลือกตายังทำงานได้บ้าง แพทย์จะทำการย่นกล้ามเนื้อให้แข็งแรงขึ้น

3.2 ศัลยกรรมแขวนหนังตา

เหมาะสำหรับผู้ที่กล้ามเนื้อยกเปลือกตาทำงานได้น้อยมาก แพทย์จะใช้เส้นเอ็นหรือวัสดุสังเคราะห์มาแขวนหนังตากับกล้ามเนื้อหน้าผากค่ะ

3.3 การทำตาสองชั้นพร้อมปรับกล้ามเนื้อตา

เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงและต้องการสร้างชั้นตาที่สวยคมชัดไปพร้อมกัน โดยที่ BEAMS Plastic surgery มีทีมศัลยแพทย์ตกแต่งใบหน้าเฉพาะทางที่มีความเชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดดวงตาและโครงสร้างใบหน้าอย่างครบวงจร ทำให้สามารถแก้ไขได้ทั้งในมิติความงามและการทำงานของกล้ามเนื้อ

นอกจากนี้ การผ่าตัดทุกเคสของเรา ดำเนินการในโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานสากล ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของทีมวิสัญญีและบุคลากรทางการแพทย์อย่างมืออาชีพ เพราะเรายึดถือความปลอดภัยของคนไข้เป็นหัวใจหลัก จึงมั่นใจได้ทั้งในด้านมาตรฐานการรักษาและผลลัพธ์ที่น่าเชื่อถือ

 

รีวิวเคสกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง - เคสคุณทิพวรรณ

ดูรีวิวของเราเพิ่มเติม

โดยบริการที่ BEAMS Plastic surgery หรือ BEAMS Clinic ครอบคลุมทุกปัญหาใบหน้าและดวงตา ตั้งแต่แก้ไขแบบไม่ผ่าตัดและไปจนถึงผ่าตัดใหญ่ เช่น :

คลิกเพื่อขอทราบหัตถการเพิ่มเติมของเรา

สรุปบทความ

ภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง เป็นปัญหาที่แก้ไขได้และไม่ควรมองข้าม ไม่ว่าจะเกิดจากการใช้สายตามากเกินไป พันธุกรรม หรือโรคประจำตัว การรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

การแก้ไขกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงในปัจจุบันมีทั้งวิธีแบบไม่ผ่าตัดสำหรับอาการระดับเบาและการผ่าตัดสำหรับอาการระดับรุนแรง โดยเทคนิคสมัยใหม่ให้ผลลัพธ์ที่ดี มีความปลอดภัยสูง และมีแผลเป็นน้อย

อย่าปล่อยให้กล้ามเนื้อตาอ่อนแรงกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต เริ่มดูแลสุขภาพตาของคุณตั้งแต่วันนี้ และปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันทีเมื่อสังเกตเห็นอาการผิดปกติ


หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ทั่วไปเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนการวินิจฉัยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ คุณสามารถปรึกษาศัลยแพทย์ตกแต่งใบหน้าเฉพาะทาง ที่ BEAMS Plastic Surgery หรือ BEAMS Clinic ได้เลยนะคะ  คลิกเพื่อปรึกษาแพทย์ของเรา

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง (FAQ)

ภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงที่เกิดจากความเหนื่อยล้าหรือการใช้สายตามากเกินไปอาจดีขึ้นเองได้ด้วยการพักผ่อน แต่หากเกิดจากสาเหตุอื่นหรืออาการรุนแรง ต้องได้รับการรักษาจากแพทย์

เทคนิคการผ่าตัดสมัยใหม่จะมีแผลเป็นน้อยมาก เนื่องจากรอยผ่าตัดจะอยู่ในร่องตาธรรมชาติ ซึ่งมองไม่เห็นเมื่อหายดีแล้วค่ะ

โดยทั่วไปใช้เวลาฟื้นตัว 1-2 สัปดาห์ สามารถกลับมาทำกิจวัตรประจำวันได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกแรงหนักและการถูตาเป็นเวลา 1 เดือนค่ะ

หากผ่าตัดโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและดูแลตามคำแนะนำ โอกาสเป็นซ้ำน้อยมาก ยกเว้นกรณีที่มีสาเหตุจากโรคประจำตัวค่ะ

ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับความรุนแรงและวิธีการรักษา แนะนำให้ปรึกษารายละเอียดได้โดยตรงดีกว่าค่ะ

ได้ค่ะ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงแต่กำเนิด ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันทีเพื่อป้องกันปัญหาสายตาในระยะยาวนะคะ

ตาปรือเป็นอาการหนึ่งของกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง แต่ไม่ใช่ทุกกรณีของตาปรือจะเป็นกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง อาจเกิดจากไขมันส่วนเกิน หนังตาหย่อน หรือสาเหตุอื่นๆค่ะ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์โดยตรงเพื่อทราบถึงปัญหาและวิธีการแก้ไขที่ตรงจุดดีกว่านะคะ