ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอยลึก และรูปหน้าที่ดูไม่กระชับ เป็นสิ่งที่หลายคนกังวลเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น การดูแลผิวด้วยสกินแคร์หรือหัตถการอย่างเลเซอร์, ฉีดฟิลเลอร์, หรือยกกระชับด้วยพลังงานต่างๆ แม้จะช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานเท่ากับ การดึงหน้าผ่าตัด (Facelift) ค่ะ
แต่คำถามที่ตามมาคือ “ผ่าตัดดึงหน้าอันตรายไหม?” และ “ข้อเสียของการดึงหน้า” มีอะไรบ้าง คุ้มค่าที่จะทำจริงหรือไม่?
ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกถึง 15 ข้อที่คุณควรรู้ก่อนตัดสินใจดึงหน้า พร้อมอธิบายทั้งข้อดีและข้อเสีย เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจอย่างรอบคอบที่สุดค่ะ
15 ข้อที่ควรรู้ก่อนการดึงหน้าผ่าตัด
1. การดึงหน้าผ่าตัดคือศัลยกรรมใหญ่
การผ่าตัดดึงหน้า ตามที่ทุกคนเข้าใจมาโดยตลอด เมื่อขึ้นชื่อของการผ่าตัด ก็จะเป็นสิ่งที่ทำมากกว่าการฉีดฟิลเลอร์หรือการฉีดโบท็อกซ์ รวมถึงการกระตุ้นด้วยเครื่องยกกระชับพลังงาน เพียงแต่หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า ผ่าตัดนั้น เป็นผ่าตัดที่ใหญ่ขนาดไหน แต่ความจริงแล้ว การดึงหน้าผ่าตัด (Facelift) จัดเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่ต้องทำในห้องผ่าตัดที่ได้มาตรฐาน ใช้ทีมแพทย์และพยาบาลร่วมกันที่ต้องอยู่ทุกขั้นตอนของการผ่าตัด ไม่ใช่เพียงศัลยแพทย์เพียงคนเดียว ขั้นตอนมักประกอบด้วย ดังนี้
- การใช้ยาสลบหรือยาชาร่วมกับยานอนหลับ
- ทำการกรีดแผลซ่อนในแนวไรผม ตั้งแต่บริเวณขมับไปตามกรอบหน้า เพื่อขจัดผิวหนังส่วนเกิน พร้อมทั้งเลาะและปรับชั้นกล้ามเนื้อใบหน้า (SMAS Layer) ส่งผลให้ผิวและโครงสร้างใบหน้าถูกยกกระชับถึงชั้นลึก
- การดึงและเย็บเพื่อให้ใบหน้ากระชับขึ้น
ดังนั้น การดึงหน้าไม่ใช่เพียง “ยกผิวขึ้น” แต่คือการ ปรับโครงสร้างของใบหน้า ซึ่งต้องใช้ทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านค่ะ
2. ความเสี่ยงจากการผ่าตัด
คำถามที่หลายคนสงสัยคือ “ผ่าตัดดึงหน้าอันตรายไหม?” คำตอบคือ “มีความเสี่ยง” ค่ะ แต่ระดับความเสี่ยงขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งสุขภาพของผู้เข้ารับการผ่าตัด ความเชี่ยวชาญของแพทย์ และมาตรฐานของสถานพยาบาล ซึ่งความเสี่ยงที่อาจพบได้ เช่น
- การติดเชื้อ : หากการดูแลแผลไม่ถูกต้อง หรือไม่ได้ทำตามคำแนะนำที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด อาจทำให้การติดเชื้อ ส่งผลให้แผลหายช้า หรือในบางกรณีอาจต้องผ่าตัดซ้ำค่ะ เพราะเฉพาะเรื่องการดูแลแผล รวมถึงการทำตามคำสั่งแพทย์เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆค่ะ
- เลือดคั่ง : เป็นภาวะที่เกิดจากเลือดออกสะสมใต้ผิวหนังหลังการผ่าตัดดึงหน้า ซึ่งในบางกรณีอาจจำเป็นต้องทำการเดรนเลือดเพิ่มเติม แต่ที่ BEAMS Clinic ได้มีการใส่สายเดรนระบายเลือดระหว่างการผ่าตัดอยู่แล้ว เพื่อให้เลือดระบายออกอย่างต่อเนื่อง จึงช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะเลือดคั่ง ทำให้พบได้ยากมากค่ะ
- การบาดเจ็บของเส้นประสาท : แม้จะพบไม่บ่อย แต่หากเกิดขึ้นอาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้า ทำให้เกิดความไม่สมมาตรของรอยยิ้ม หรือมีอาการชาในบางตำแหน่ง ซึ่งช่วงแรกมักจะพบการชา ตึงของใบหน้าเป็นเรื่องปกติค่ะ หากคุณกังวลใจมากเป็นพิเศษแนะนำให้ปรึกษาคลินิกหรือสถานพยาบาลนั้นๆ ได้เลยค่ะ ขอยกตัวอย่างที่ BEAMS Clinic เรามีไลน์หรือเบอร์โทรเลขาแพทย์พร้อมตอบทุกคำถามที่คุณกังวลใจค่ะ
- แพ้ยาสลบ : ผู้ป่วยบางรายอาจตอบสนองไม่ดีต่อยาสลบ เช่น ความดันโลหิตตก หัวใจเต้นผิดจังหวะ
แม้ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้จะพบไม่มากนัก แต่ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ต้องเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ และควรผ่าตัดในโรงพยาบาลที่มีระบบดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัดอย่างครบวงจรนะคะ
3. อาการบวมและช้ำหลังผ่าตัด
หนึ่งในสิ่งที่ผู้เข้ารับการดึงหน้าต้องเผชิญแน่นอนคือ อาการบวมและช้ำ ซึ่งเป็นผลตามธรรมชาติของการผ่าตัด แม้จะไม่อันตรายแต่ก็สร้างความไม่สบายตัวและอาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตในช่วงพักฟื้น
- ระยะเวลาเกิดอาการ : มักเกิดขึ้นทันทีหลังผ่าตัด และเห็นชัดที่สุดในช่วง 3-5 วันแรก
- การหายของอาการ : โดยทั่วไปจะค่อย ๆ ดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์ แต่บางรายอาจใช้เวลานานถึง 1-3 เดือนกว่าจะกลับมาใกล้เคียงปกติ
- การดูแลตัวเอง : ควรประคบเย็นในช่วง 48 ชั่วโมงแรก นอนหนุนหมอนสูงเพื่อช่วยลดบวม หลีกเลี่ยงการก้มหน้าหรือออกแรงยกของหนัก
แม้อาการบวมช้ำจะเป็นเพียงชั่วคราว แต่ก็เป็นสิ่งที่ผู้ป่วยควรเตรียมใจไว้ เพราะอาจทำให้ไม่สะดวกออกสังคมหรือทำงานในช่วงพักฟื้น
4. การฟื้นตัวต้องใช้เวลา 3-5 วัน
หลังการผ่าตัดดึงหน้า ผู้ป่วยต้องใช้เวลาพักฟื้นนานพอสมควร ไม่ใช่การทำแล้วสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ทันทีเหมือนการฉีดฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์ โดยทั่วไปจะต้องพักฟื้น 3-5 วัน เพื่อให้บวมและช้ำยุบลงจนสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้
- เดือนแรกหลังผ่าตัด : แผลและรอยช้ำยังเห็นอยู่ แต่ขึ้นอยู่กับการดูแลและการบวมช้ำง่ายของแต่ละบุคคล
- เดือนแรก : เป็นช่วงที่ผิวและกล้ามเนื้อกำลังเข้าที่ จึงควรเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก การยกของหนัก หรือกิจกรรมที่ให้เลือดสูบฉีดมากค่ะ
- การดูแลแผล : ต้องทำแผลและพบแพทย์ตามนัดอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อและช่วยให้แผลหายไวขึ้นนะคะ
5. ผลลัพธ์ไม่ถาวรตลอดไป
แม้การดึงหน้าจะให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและสามารถอยู่ได้นาน 5-10 ปี แต่ก็ไม่ถาวรตลอดชีวิตนะคะ เพราะผิวและกล้ามเนื้อยังคงเสื่อมสภาพไปตามอายุ ดังนั้น ริ้วรอยและความหย่อนคล้อยย่อมกลับมาอีกในอนาคตหากไม่ได้มีการดูแลตัวเอง หรือบำรุงเพื่อชลอความหย่อนคล้อยค่ะ อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาที่ผลลัพธ์อยู่ได้นานหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยค่ะ เช่น
- อายุของผู้เข้ารับการผ่าตัด
- พฤติกรรมการดูแลตัวเอง (เช่น ไม่สูบบุหรี่, ไม่ดื่มแอลกอฮอล์มาก, การบำรุงผิว)
- ความเชี่ยวชาญของแพทย์และเทคนิคที่ใช้
การดึงหน้า ช่วยดูให้อายุผิวอ่อนวัยลงได้หลายปี แต่ไม่สามารถหยุดเวลาได้ตลอดไปนะคะ
6. ค่าใช้จ่ายสูง
หนึ่งในที่หลายคนต้องคำนึงถึงคือเรื่องค่าใช้จ่าย เนื่องจากเป็นหัตถการขนาดใหญ่ที่ใช้ทีมแพทย์ เครื่องมือ และสถานที่ผ่าตัดที่ได้มาตรฐาน ราคามักจะค่อนข้างสูงค่ะ นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ตามมา เช่น
- ค่าใช้จ่ายการทำหัตถการผ่าตัดดึงหน้า รวมถึงค่ายาและเวชภัณฑ์หลังผ่าตัด
- หากต้องแก้ไขหรือทำซ้ำในอนาคต ค่าใช้จ่ายก็จะยิ่งสูงขึ้น
ดังนั้นผู้ที่สนใจควรวางแผนและเตรียมงบประมาณล่วงหน้าให้พร้อม อีกทั้งควรพิจารณาความคุ้มค่าของการลงทุน เช่น การทำกับแพทย์ที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเทคนิคการตกแต่งใบหน้า การดึงหน้าเพียงครั้งเดียว อาจให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าและยาวนานมากกว่าการเข้าคลินิกหลายๆ ครั้งเพื่อทำทรีตเมนต์อื่นๆค่ะ
7. เสี่ยงเกิดแผลเป็น
แม้แผลผ่าตัดดึงหน้าจะถูกซ่อนบริเวณไรผม แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดแผลเป็นที่มองเห็นได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวที่มีแนวโน้มเป็น คีลอยด์ (Keloid) หรือแผลนูน ได้ง่าย
แผลเป็นที่เกิดขึ้นอาจทำให้ผลลัพธ์ดูไม่เป็นธรรมชาติ และในบางรายอาจต้องรักษาเพิ่มเติม เช่น การฉีดยาสเตียรอยด์ การเลเซอร์ หรือการทำทรีตเมนต์ลดรอยแผล
อย่างไรก็ตาม หากเลือกศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง และดูแลแผลหลังผ่าตัดอย่างถูกต้อง ก็สามารถลดความเสี่ยงของการเกิดแผลเป็นได้มากค่ะ
8. การบาดเจ็บของเส้นประสาท
หนึ่งในความกังวลหลักของผู้ที่คิดจะทำศัลยกรรมดึงหน้าคือ เส้นประสาทใบหน้าได้รับบาดเจ็บ เพราะเส้นประสาทควบคุมการเคลื่อนไหวและความรู้สึกของใบหน้า ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เช่น
- อาการชาที่ศรีษะ เจ็บแปลบๆ ตึงๆใบหน้า
- การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้าไม่เต็มที่ เช่น ยิ้มไม่สุด หรือยกคิ้วได้ไม่เท่ากัน
โดยทั่วไป อาการเหล่านี้มักค่อย ๆ ดีขึ้นเองภายใน 1-3 เดือน หรือมากกว่านั้น แต่ในบางกรณีอาจมีผลกระทบระยะยาวหากเส้นประสาทบาดเจ็บมาก ดังนั้น ความเชี่ยวชาญของแพทย์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดความเสี่ยงนี้ค่ะ
9. ไม่สามารถย้อนกลับได้
การผ่าตัดดึงหน้าต่างจากการฉีดฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์ที่สามารถสลายหรือแก้ไขได้ง่าย หากผลลัพธ์หลังผ่าตัดไม่ถูกใจ เช่น หน้าตึงเกินไป รูปหน้าแข็ง ไม่เป็นธรรมชาติ หรือไม่สมมาตร จะไม่สามารถย้อนกลับได้
ทางเดียวที่จะแก้ไขได้คือ การผ่าตัดซ้ำค่ะ ซึ่งซับซ้อนและมีความเสี่ยงมากกว่าการทำครั้งแรก อีกทั้งยังเพิ่มค่าใช้จ่ายสูงขึ้นไปอีก
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจทำ ควรมั่นใจในฝีมือของแพทย์ และปรึกษาอย่างละเอียดถึงผลลัพธ์ที่คาดหวัง เพื่อป้องกันความผิดหวังที่อาจเกิดขึ้นนะคะ
10. การดึงหน้าไม่ได้เหมาะกับทุกคน
แม้การดึงหน้าจะช่วยให้ดูอ่อนเยาว์ได้อย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคหรือปัจจัยเสี่ยงบางอย่าง เช่น
- ผู้ที่มี โรคหัวใจรุนแรง
- ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
- ผู้ที่สูบบุหรี่จัด เพราะทำให้แผลหายช้าและเสี่ยงติดเชื้อ
ดังนั้น ก่อนการผ่าตัดทุกครั้ง ผู้ป่วยต้องตรวจสุขภาพอย่างละเอียด และแจ้งโรคประจำตัวหรือยาที่ใช้อยู่เป็นประจำกับแพทย์ เพื่อให้มั่นใจว่าการผ่าตัดจะปลอดภัยที่สุดนะคะ
11. อาจผ่าตัดซ้ำในอนาคต
*ขึ้นอยู่กับคุณภาพการผ่าตัด และประสบการณ์ของแพทย์
โดยทั่วไป การผ่าตัดดึงหน้าแม้จะให้ผลลัพธ์นานถึง 5-10 ปี เนื่องจากผิวและกล้ามเนื้อยังคงเสื่อมตามอายุ จึงอาจมีบางคนที่ต้องการทำซ้ำในอนาคต
แต่หากเลือกทำที่ คลินิกที่ได้มาตรฐาน และทำโดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการตกแต่งใบหน้าโดยเฉพาะ หรือศัลยแพทย์เฉพาะทาง จะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน หากไม่จำเป็นไม่ต้องทำซ้ำ อีกทั้งยังได้รูปหน้าที่เป็นธรรมชาติและแผลผ่าตัดที่ซ่อนอย่างแนบเนียน
สรุปคือ การดึงหน้าไม่ได้ “ต้องทำซ้ำเสมอไป” ขึ้นอยู่กับคุณภาพการผ่าตัดตั้งแต่แรก และการดูแลตัวเองหลังทำด้วยค่ะ
12. ผลข้างเคียงหลังผ่าตัด
ผลข้างเคียงเป็นสิ่งที่แทบทุกคนต้องเจอหลังผ่าตัดดึงหน้า แม้จะไม่จัดว่า “อันตรายร้ายแรง” แต่ก็ทำให้ผู้เข้ารับบริการรู้สึกไม่สบายตัวในช่วงพักฟื้น ตัวอย่างเช่น
- อาการตึงใบหน้า : หลังการผ่าตัดดึงหน้า ผู้เข้ารับบริการส่วนใหญ่จะรู้สึก ตึงบริเวณใบหน้า ในช่วงแรก เนื่องจากแพทย์จะต้องเย็บยกชั้นกล้ามเนื้อและผิวหนังเพื่อให้ใบหน้ากระชับ การเย็บนี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ได้รูปหน้าที่สมบูรณ์และยาวนาน แต่ก็ทำให้กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อรอบ ๆ ถูกกระตุ้น จึงเกิดความรู้สึกตึงได้ นอกจากนี้บางคนอาจสังเกตว่าการขยับศีรษะหรือการแสดงสีหน้า เช่น ยิ้ม พูด หรือเคี้ยว อาจรู้สึกไม่สะดวกเหมือนเดิมใน 1-2 สัปดาห์ แต่อาการเหล่านี้มักจะค่อยๆ ดีขึ้น
- ผิวมีความไวผิดปกติ : หลังการผ่าตัด บางคนอาจพบว่าผิวบริเวณที่ทำ มีความไวมากขึ้นหรือชาลง ปัญหานี้เกิดจาก เส้นประสาทที่อยู่ใต้ผิวถูกกระทบกระเทือน ระหว่างการผ่าตัด ทำให้รับความรู้สึกผิดปกติ เช่น รู้สึกชาบางจุดค่ะ แต่อาการเหล่านี้เป็นปกติและมักจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อเส้นประสาทฟื้นตัว ซึ่งอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและการดูแลหลังผ่าตัดนะคะ
- คันหรือระคายเคือง : อาการคันหรือระคายเคืองมักเกิดขึ้น ในช่วงที่แผลเริ่มหาย เพราะผิวหนังกำลังฟื้นตัวและสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ร่างกายจะซ่อมแซมผิวและเนื้อเยื่อที่ถูกเย็บ ทำให้เกิดความรู้สึกคันหรือร้อนผ่าวบริเวณแผลได้ ผู้เข้ารับบริการควรหลีกเลี่ยงการแกะเกา เพื่อป้องกันการติดเชื้อและรอยแผลเป็นที่ไม่เรียบ การทาครีมบำรุงหรือยาตามคำแนะนำของแพทย์สามารถช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้ค่ะ
13. ความเสี่ยงจากดมยาสลบ
การดมยาสลบก็มีความเสี่ยงในตัวเอง ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น ปฏิกิริยาทางยา หรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ แม้ว่าในปัจจุบันเทคนิคและเครื่องมือจะพัฒนาไปมากจนมีความปลอดภัยสูง แต่ก็ยังไม่สามารถตัดความเสี่ยงออกไปได้ทั้งหมด โดยทั่วไปผู้เข้ารับการผ่าตัดอาจพบอาการหลังดมยาที่ไม่รุนแรง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ มึนงง หรือเจ็บคอจากท่อช่วยหายใจ ซึ่งมักจะหายได้เองภายในไม่กี่วัน
ในบางกรณีอาจมีความผิดปกติที่ต้องเฝ้าระวังใกล้ชิดมากขึ้น เช่น ความดันโลหิตไม่คงที่ ภาวะหายใจลำบาก หรือภาวะสับสนหลังตื่นจากยาสลบ โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน หรือโรคปอด ซึ่งจำเป็นต้องมีการดูแลอย่างรอบคอบตั้งแต่ก่อนเข้าห้องผ่าตัด
สำหรับความเสี่ยงที่รุนแรง แม้จะพบได้น้อยมาก แต่ก็ไม่ควรมองข้าม เช่น การแพ้ยาสลบอย่างรุนแรง (Anaphylaxis), หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือหยุดเต้น, รวมถึง ภาวะ Malignant Hyperthermia ซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรงและต้องอาศัยการช่วยเหลือฉุกเฉินจากทีมแพทย์และอุปกรณ์ที่พร้อมตลอดเวลา
ดังนั้น การดมยาสลบจึงควรทำโดย วิสัญญีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรอง พร้อมทั้งต้องมีการวางแผนและตรวจสุขภาพอย่างละเอียดล่วงหน้า ทั้งการตรวจเลือด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และซักประวัติทางการแพทย์ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้เข้ารับการผ่าตัดมีความปลอดภัยสูงสุด
ที่ BEAMS Clinic เราให้ความสำคัญกับมาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด โดยจัดเตรียม วิสัญญีแพทย์ดูแลแบบ 1:1 ในทุกเคสของการผ่าตัด เพื่อดูแลผู้เข้ารับบริการตั้งแต่ก่อน ระหว่าง และหลังการผ่าตัดอย่างใกล้ชิด พร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัยและได้มาตรฐานสากล เพื่อให้มั่นใจว่าทุกการผ่าตัดจะดำเนินไปด้วยความปลอดภัยสูงสุด
สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า ผ่าตัดดึงหน้าอันตรายไหม? ดังนั้น การเลือกแพทย์และคลินิกที่มีมาตรฐานจึงเป็นสิ่งที่ลดความเสี่ยงได้มากที่สุดค่ะ
14. การเลือกศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญ
แพทย์คือหัวใจสำคัญที่สุด ของการผ่าตัดดึงหน้า เพราะแม้เทคนิคและเครื่องมือจะดีเพียงใด แต่หากแพทย์ไม่มีความเชี่ยวชาญ ก็อาจทำให้เกิดปัญหาตามมา เช่น
1. แผลเป็นชัดและรอยแผลไม่สวยงาม
2. ใบหน้าตึงแข็ง ดูไม่เป็นธรรมชาติ
3. ความเสี่ยงแทรกซ้อนสูงขึ้น เช่น เส้นประสาทบาดเจ็บหรือแผลติดเชื้อ
ดังนั้น ควรเลือกแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้าน ศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า (Facial Plastic Surgery) หรือศัลยแพทย์ตกแต่งที่ได้รับการรับรองจากแพทยสภา และควรตรวจสอบว่าแพทย์มี ผลงานเคสจริงก่อน-หลัง ให้ดู รวมถึงรีวิวผู้ป่วยจริงเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ
15. การดูแลหลังผ่าตัดสำคัญมาก
แม้แพทย์จะผ่าตัดได้ดี แต่หากผู้ป่วยไม่ดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง ผลลัพธ์ก็อาจไม่สวยงามอย่างที่หวัง ดังนั้น การดูแลหลังผ่าตัดคือปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง
สิ่งที่ควรทำ เช่น
- หลังศัลยกรรมดึงหน้า ช่วง 1-3 วันแรก ควรประคบเย็นโดยใช้น้ำแข็ง หรือ cold pack ประคบบริเวณรอบ ๆ แผล เพื่อช่วยลดบวม
- หลังจากประคบเย็นในช่วง 1-3 วันแรกแล้ว ไม่แนะนำให้ประคบอุ่น เนื่องจากยังมีอาการชา จะทำให้เกิดผิวพองได้ 7-14วัน อาการบวมจะดีขึ้นแต่ในบางท่านอาจนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับผิวของแต่ละบุคคล
- 7 วันแรกหลังผ่าตัด ควรใส่ผ้ารัดหน้าตลอด 24 ชั่วโมง
- หลังจากครบ 7 วันแล้ว ให้ใส่ผ้ารัดหน้าอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง และใส่ต่อเนื่องจนครบ 3 เดือน
- ควรหลีกเลี่ยงการนอนราบหรือนอนคว่ำหน้าในช่วงสัปดาห์แรก เนื่องจากอาจทำให้แผลผ่าตัดได้รับการกระทบกระเทือน ควรนอนหนุนศีรษะให้สูงกว่าลำตัวเพื่อลดบวมช้ำ
- หลังศัลยกรรมควรพักฟื้นอย่างน้อย 3-5 วัน และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงกระแทกใบหน้า
- งดออกกำลังกายหรือกิจกรรมที่ต้องออกแรงเป็นเวลา 2 สัปดาห์
- สามารถสระผมได้หลังจากตัดไหมแล้ว 7 วัน
- รับประทานยาตามแพทย์สั่งจนครบ และเข้าพบแพทย์ตามนัดหมาย
- หากพบอาการผิดปกติ เช่น เลือดออกมากผิดปกติหรือมีอาการบวมรุนแรง ควรรีบติดต่อแพทย์ทันที
- การดูแลหลังการผ่าตัดจึงไม่ใช่เพียงเรื่องเล็กๆ แต่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การลงทุนหลักแสนครั้งนี้คุ้มค่าและปลอดภัยที่สุด
เหตุผลที่ควรดึงหน้ากับ BEAMS Clinic

ภาพประกอบการโฆษณาเท่านั้น
1. มีทีมศัลยแพทย์ตกแต่งใบหน้าเฉพาะทาง
- ทีมแพทย์มีประสบการณ์เฉพาะทาง หรือตรงกับด้านศัลยกรรมยกกระชับใบหน้า
- มีวิสัญญีแพทย์ดูแลแบบ 1:1 ในทุกเคสของการผ่าตัด เพื่อดูแลผู้เข้ารับบริการตั้งแต่ก่อน ระหว่างทำ และหลังการผ่าตัดอย่างใกล้ชิด
- ทีมแพทย์ครบชุดที่ยึดมาตรฐานเดียวกันกับทีมแพทย์ระดับโรงพยาบาล ทั้งในด้านองค์ความรู้ เทคนิคการรักษา และการดูแลผู้รับบริการ
- ออกแบบรูปหน้าเฉพาะบุคคลเพื่อให้เข้ากับโครงสร้างใบหน้าของแต่ละคน
2. เทคนิคที่ช่วยลดบวม ฟื้นตัวเร็ว
- ใช้วิธีผ่าตัดที่คำนึงถึงการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อให้น้อยที่สุด
- มีการทำ After Care หลังการเข้ารับบริการ เพื่อลดอาการบวมช้ำ ทำให้ผู้รับบริการสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วขึ้น
3. ความปลอดภัยสูง
- ทุกการผ่าตัดดำเนินการในโรงพยาบาลที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน เพราะเราให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของผู้เข้ารับบริการอย่างเคร่งครัด
- มีเครื่องมืออุปกรณ์ที่ปลอดเชื้อและทันสมัย
- เครื่องมือดมยาสลบและวิสัญญีแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด
- ระบบฆ่าเชื้อและการดูแลหลังผ่าตัดครบวงจร
4. ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ
- เป็นการดึงหน้าชั้นลึก และตัดผิวหนังส่วนเกินด้านนอกเพื่อ ผลลัพธ์ที่ธรรมชาติ
- เน้นการยกกระชับที่ไม่ทำให้ใบหน้าตึงจนเกินไป
- คงความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล ให้ดูอ่อนวัยลงโดยไม่หลอกตา “เป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีกว่าเดิม”
5. การดูแลหลังผ่าตัดอย่างใกล้ชิด
- มีการนัดติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
- มีทีมพยาบาลและผู้เชี่ยวชาญดูแลการฟื้นตัวอย่างใกล้ชิด พร้อมมีเลขาแพทย์คอยตอบทุกคำถามที่กังวลใจ เพื่อให้ผู้เข้ารับบริการมั่นใจและอุ่นใจตลอดการรักษา
- ให้คำปรึกษาและดูแลต่อเนื่องแม้หลังจบการผ่าตัด
สรุปแล้ว การดึงหน้ากับ BEAMS Clinic ไม่ใช่แค่เรื่องของการ “ยกกระชับ” เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความใส่ใจใน มาตรฐานความปลอดภัย การออกแบบผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ และการดูแลหลังผ่าตัดที่ครบวงจร ทำให้ผู้เข้ารับบริการมั่นใจได้ทั้งเรื่องความสวยงามและความปลอดภัยในระยะยาว
สรุปบทความ
การผ่าตัดดึงหน้า (Facelift) มีทั้งข้อดีและข้อเสีย หากทำกับแพทย์ที่เชี่ยวชาญและสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือ ก็จะได้ผลลัพธ์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ได้อย่างชัดเจนและปลอดภัย แต่หากละเลยขั้นตอนการเลือกแพทย์หรือการดูแลหลังผ่าตัด ก็อาจเจอความเสี่ยงและผลข้างเคียงได้นะคะ
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจ ควรศึกษาอย่างละเอียด ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และชั่งน้ำหนักทั้ง ข้อดีและข้อเสียของการดึงหน้า ให้รอบคอบ เพื่อให้การผ่าตัดครั้งนี้ปลอดภัยและคุ้มค่ามากที่สุดค่ะ
หากท่านมีปัญหาใบหน้าที่หย่อนคล้อย ผิวไม่กระชับ ต้องการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ที่ BEAMS Clinic เรามีทีมแพทย์ที่มากประสบการณ์ พร้อมดูแลทุกปัญหาบนใบหน้าให้ท่านกลับมามั่นใจอีกครั้ง ท่านสามารถติดต่อ หรือเข้ามาปรึกษาเพื่อประเมินและวางแผนหาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมที่สุดร่วมกันได้เลยนะคะ คลิกเพื่อปรึกษาแพทย์ของเรา



