SMAS คืออะไร? ทำไมต้องยกกระชับใบหน้าลึก ถึงชั้น SMAS

คำตอบ ชั้น Smas

ชั้น Smas คืออะไร? เมื่อพูดถึงการยกกระชับหน้า หลายคนอาจจะนึกถึงเทคนิค และวิธีการต่างๆของการดูแลให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ขึ้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่มักจะถูกมองข้ามไป แต่กลับมีบทบาทสำคัญในกระบวนการยกกระชับผิวเป็นอย่างมาก นั่นก็คือ ชั้น SMAS ค่ะ และเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนยังคงสงสัย กับคำว่าชั้น Smas คืออะไร? ทำไมเราจึงต้องให้ความสำคัญต่อกับการยกกระชับใบหน้าของชั้นนี้ บทความนี้จะให้คุณไปทำความรู้จักกับชั้น Smas ไปพร้อมๆกันค่ะ

SMAS คืออะไร?

SMAS คือ Superficial Musculo Aponeurotic System เป็นชั้นเนื้อเยื่อ (พังผืด) ที่สำคัญของกล้ามเนื้อใบหน้า ที่อยู่ระหว่างกล้ามเนื้อและชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเชื่อมโยง กล้ามเนื้อ และไขมันที่มีโครงสร้างพิเศษ ทำหน้าที่เป็นแผ่นบางที่เชื่อมต่อระหว่างกล้ามเนื้อใบหน้าและผิวหนังชั้นนอก เรียกได้ว่า เป็นหนึ่งโครงสร้างหลักของใบหน้าที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมากค่ะ

ชั้น SMAS นี้มีลักษณะเป็นเนื้อเยื่อแผ่นบางที่มีเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน โดยทำหน้าที่รองรับและพยุงโครงสร้างผิวให้กระชับ เป็นเสมือนตัวยึดเหนี่ยวที่ช่วยในการรักษารูปร่างของใบหน้าให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสม

Smas คืออะไร

ภาพประกอบการโฆษณาเท่านั้น

ผิวหนังบนใบหน้ามีทั้งหมด กี่ชั้น?

ผิวหน้าของคนเรามีทั้งหมด 5 ชั้นหลัก โดยจะนับจากผิวด้านนอกลงสู่ชั้นลึก ดังนี้ค่ะ

1.หนังกำพร้า (Epidermis)

เป็นชั้นผิวด้านนอกสุดที่เรามองเห็นและสัมผัสได้ มีหน้าที่ปกป้องผิวจากฝุ่นละออง แสงแดด และมลภาวะต่าง ๆ หากผิวชั้นนี้แห้งหรือขาดความชุ่มชื้น อาจทำให้หน้าหมองคล้ำ แพ้ง่าย และดูไม่สดใสได้ค่ะ

2.หนังแท้ (Dermis)

อยู่ลึกลงมาจากหนังกำพร้า เป็นชั้นที่เต็มไปด้วยคอลลาเจนและอีลาสติน ทำหน้าที่เสริมความยืดหยุ่นและความเต่งตึงให้กับผิว เมื่ออายุมากขึ้น ปริมาณคอลลาเจนจะลดลง ทำให้ผิวเริ่มหย่อนคล้อย และเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น

3.ชั้นไขมัน (Fat Layer)

เป็นชั้นที่ช่วยรองรับโครงสร้างใบหน้า ทำให้รูปหน้าดูอิ่มฟูและมีมิติ หากไขมันในชั้นนี้เริ่มบางลง หรือเคลื่อนตัวลงต่ำตามแรงโน้มถ่วง จะทำให้เกิดปัญหาใบหน้าหย่อนคล้อย เช่น ร่องแก้มลึก ร่องน้ำหมาก และเหนียงใต้คาง

4.ชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System)

เป็นโครงสร้างเนื้อเยื่อที่อยู่ระหว่างไขมันกับกล้ามเนื้อ ทำหน้าที่คล้ายแผ่นพังผืดที่ช่วยพยุงใบหน้า ถือเป็นชั้นสำคัญในการยกกระชับใบหน้า ทั้งหัตถการที่ไม่ผ่าตัดและผ่าตัด โดยเฉพาะศัลยกรรมดึงหน้า (Face Lift) เพราะการยกกระชับจากชั้น SMAS จะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานและดูเป็นธรรมชาติมากกว่าการยกเฉพาะผิวหนังด้านบน

5.ชั้นกล้ามเนื้อและกระดูก (Muscle & Bone)

เป็นชั้นลึกสุดที่ประกอบด้วยกล้ามเนื้อและโครงสร้างกระดูก เช่น กราม คาง และโหนกแก้ม ซึ่งมีส่วนกำหนดรูปหน้าของแต่ละบุคคล ชั้นนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงง่าย เว้นแต่จะมีการทำศัลยกรรมโครงหน้าโดยตรงเป็นต้นค่ะ

ทำไมชั้น SMAS จึงสำคัญ?

ชั้น SMAS ถือเป็นส่วนสำคัญในการยกกระชับผิวหน้า ให้หน้าเราดูอ่อนกว่าวัย เนื่องจากชั้น Smas เป็นชั้นที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของใบหน้า รวมถึงการแสดงอารมณ์ต่าง ๆ เมื่อเราอายุมากขึ้น ชั้น SMAS จะเริ่มหย่อนยาน สูญเสียความยืดหยุ่น และความสามารถในการพยุงโครงสร้างผิวหน้า ส่งผลให้เกิดรอยย่น ผิวหย่อนคล้อย

โดยเฉพาะในบริเวณที่หลายคนกังวล เช่น กรอบหน้าไม่ชัด มีร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก เหนียง หรือคางสองชั้น และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของรูปร่างใบหน้าที่เห็นได้ชัดเจน การรู้เข้าใจถึงความสำคัญของชั้น SMAS จะช่วยให้เราเข้าใจเหตุผลว่าทำไมการยกกระชับผิวหน้าที่มีประสิทธิภาพจึงต้องไปถึงชั้น SMAS และไม่ใช่แค่ผิวหนังชั้นบนเท่านั้น

ผิวหนังชั้น SMAS มีหน้าที่อะไรบ้าง?

ผิวหนังชั้น SMAS (Superficial Musculoaponeurotic System) เป็นชั้นเนื้อเยื่อสำคัญที่อยู่ใต้ผิวหนังแท้และชั้นไขมัน ซึ่งจะทำหน้าที่หลักในการพยุงโครงสร้างของใบหน้าและลำคอให้คงรูป โดยมี 3 หน้าที่หลัก ดังนี้

  • พยุงและรั้งโครงสร้างใบหน้า SMAS ทำหน้าที่เป็นเหมือนโครงสร้างค้ำจุนที่ช่วยยึดและพยุงผิวหนัง กล้ามเนื้อ และไขมันบนใบหน้าให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ทำให้ใบหน้ามีความกระชับและไม่หย่อนคล้อย
  • ควบคุมการเคลื่อนไหวของใบหน้า กล้ามเนื้อที่อยู่ในชั้น SMAS มีบทบาทสำคัญในการแสดงออกทางสีหน้า เช่น การยิ้ม การขมวดคิ้ว หรือการพูดคุย
  • ป้องกันการหย่อนคล้อย SMAS ทำหน้าที่เป็นปราการสำคัญในการชะลอการหย่อนคล้อยของผิว แต่เมื่ออายุเพิ่มขึ้น คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนังจะลดลง รวมถึงชั้น SMAS ก็จะเริ่มอ่อนแอลง ทำให้ผิวหน้าหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอย
  • จุดสำคัญในการยกกระชับใบหน้า เนื่องจากความสำคัญของชั้น SMAS ในการพยุงโครงสร้างใบหน้า การทำศัลยกรรมแบบไม่ผ่าตัด เช่น Hifu , Ulterapy , EndoliftX และศัลยกรรมแบบดึงหน้า (Face lift) ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การยกกระชับและจัดเรียงชั้น SMAS ใหม่ เพื่อให้ผลลัพธ์การยกกระชับหรือการดึงหน้าดูเป็นธรรมชาติและคงทน

ดังนั้น ชั้น SMAS จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความอ่อนเยาว์และความกระชับของใบหน้า หากชั้น SMAS เสื่อมสภาพหรือไม่แข็งแรง ก็จะส่งผลให้ใบหน้าหย่อนคล้อยและดูมีอายุได้ค่ะ

วิธีสังเกต เมื่อชั้น SMAS หย่อนคล้อย

เมื่ออายุมากขึ้นหรือมีปัจจัยบางอย่างมากระตุ้น ชั้น Smas อาจเริ่มหย่อนตัวลง ส่งผลให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัยโดยไม่รู้ตัว สัญญาณที่พบบ่อยเมื่อชั้น SMAS หย่อนคล้อย มีวิธีที่สังเกตง่ายๆ ได้แก่

  1. รูปหน้าดูเปลี่ยนไป จากที่เคยเป็นรูปไข่หรือวีเชฟ กลับดูหน้าเหลี่ยม หน้าตก หรือหน้าดูอูมช่วงล่าง
  2. แก้มหย่อนคล้อย บริเวณแก้มด้านข้างและมุมปากเริ่มหย่อนลง ทำให้ใบหน้าดูอ่อนล้า ไม่สดใส
  3. ร่องแก้มลึกขึ้น รอยพับจากปีกจมูกถึงมุมปาก บริเวณของร่องแก้มดูชัดกว่าก่อน แม้จะไม่แสดงสีหน้า
  4. เกิดร่องน้ำหมาก ร่องที่ลากจากมุมปากลงมาข้างคางเริ่มชัด ซึ่งทำให้ใบหน้าดูเศร้าหรือดูมีอายุ
  5. เริ่มมีเหนียง หรือคางสองชั้น แม้ไม่อ้วนขึ้น แต่บริเวณใต้คางเริ่มมีเนื้อย้อย อาจจะเพราะว่า ชั้น SMAS ไม่กระชับเหมือนเดิม
  6. ผิวหน้าดูหย่อนโดยรวม สังเกตวิธีการแต่งหน้าไม่ติดเท่าเมื่อก่อน โครงหน้าดูละลาย กรอบหน้าไม่คมชัดเหมือนเดิม

หากคุณเริ่มรู้สึกว่า “หน้าหย่อน ผิวตก โครงหน้าเปลี่ยน กรอบหน้าไม่ชัด” โดยที่น้ำหนักไม่ได้เพิ่มขึ้น อาจเป็นเพราะ ชั้น SMAS กำลังอ่อนตัว และถึงเวลาที่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการยกกระชับใบหน้านะคะ

หัตถการไหน ที่ยกกระชับถึงชั้นลึกได้ แบบไม่ผ่าตัด?

การยกกระชับผิวถึงชั้น SMAS โดยไม่ผ่าตัด เป็นการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวหนังที่ลึกที่สุด ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการดึงหน้า เพื่อให้เกิดการยกกระชับอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะกับคนไข้ที่ยังไม่พร้อมผ่าตัด และมีความหย่อนคล้อยระดับน้อยไปถึงปานกลาง

HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound)

  • หลักการทำงาน: คล้ายคลึงกับ Ultherapy คือใช้คลื่นอัลตราซาวด์พลังงานสูงส่งลงไปใต้ผิวหนังเพื่อสร้างจุดความร้อนในชั้นผิวต่างๆ รวมถึงชั้น SMAS เพื่อกระตุ้นการหดตัวของเนื้อเยื่อและการสร้างคอลลาเจนใหม่
  • ชั้น SMAS: เครื่อง HIFU ส่วนใหญ่สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS ได้เช่นกัน แต่โดยทั่วไปแล้ว HIFU จะ ไม่มีหน้าจอแสดงผล Real-time เหมือน Ultherapy ทำให้การลงลึกถึงชั้น SMAS อาจต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญของแพทย์เป็นหลัก
  • ผลลัพธ์: ช่วยยกกระชับผิว ลดความหย่อนคล้อย ลดเหนียง และปรับรูปหน้า
  • ข้อดี: เป็นหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ราคาเข้าถึงได้ง่าย ซึ่งมีความหลากหลายของเครื่องมือและยี่ห้อ (เช่น Ultraformer III, Doublo-Gold เป็นต้น)
  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยไม่มาก หรือต้องการดูแลผิวอย่างต่อเนื่องเพื่อชะลอความหย่อนคล้อย สามารถทำได้บ่อยครั้งกว่า Ultherapy

ยกกระชับ ด้วย HIFU

ภาพประกอบการโฆษณาเท่านั้น

Ultherapy

  • หลักการทำงาน: ใช้เทคโนโลยีคลื่นอัลตราซาวด์แบบ Micro-Focused Ultrasound with Visualization (MFU-V) โดยส่งพลังงานคลื่นเสียงที่มีความจำเพาะเจาะจงลงไปใต้ผิวหนังเป็นจุดเล็กๆ ที่มีความร้อนสูงถึง 60-70°C ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
  • ชั้น SMAS: Ultherapy มีจุดเด่นคือมีหน้าจอแสดงผลแบบ Real-time (DeepSEE™ Technology) ทำให้แพทย์สามารถมองเห็นโครงสร้างชั้นผิวที่กำลังทำการรักษาได้อย่างชัดเจนและแม่นยำ สามารถวางแผนและส่งพลังงานลงไปถึงชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นพังผืดที่รองรับกล้ามเนื้อและผิวหนัง ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า
  • ผลลัพธ์: ช่วยกระตุ้นการหดตัวของคอลลาเจนเก่าและสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้เกิดการยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ริ้วรอยลดเลือนลง กรอบหน้าคมชัด และผิวโดยรวมดูอ่อนเยาว์ขึ้น
  • ข้อดี: มีความแม่นยำสูง ปลอดภัย ได้รับการรับรองจาก US FDA ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนาน (ประมาณ 1-2 ปี)
  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับน้อยถึงปานกลาง ต้องการผลลัพธ์ที่แม่นยำและยาวนาน

เครื่อง Ultherapy

ภาพประกอบการโฆษณาเท่านั้น

EndoliftX (เอนโดลิฟท์)

  • หลักการทำงาน: แตกต่างจาก 2 วิธีแรก โดย Endolift ใช้เทคโนโลยี เลเซอร์ไมโครไฟเบอร์ (Microfiber Laser Technology) โดยแพทย์จะสอดเส้นใยนำแสงขนาดเล็กมาก (บางกว่าเส้นผม) เข้าไปใต้ผิวหนังผ่านรูเข็มเล็กๆ จากนั้นจึงปล่อยพลังงานเลเซอร์ไดโอดความยาวคลื่น 1470 นาโนเมตร ด้วยการสอดเส้นใยนำแสงเข้าไปใต้ผิวหนังโดยตรง แพทย์สามารถควบคุมความลึกในการส่งพลังงานเลเซอร์ให้ลงไปได้อย่างแม่นยำ ทำให้เกิดการหดตัวของเนื้อเยื่อและการกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นลึก
    ** Endolift (เอนโดลิฟท์) จะนำพลังงานความร้อนลงลึกสู่ 3 ชั้นผิว ได้แก่ ชั้นหนังแท้ (dermis), ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (subcutaneous), และ ชั้น SMAS ร่วมด้วย ระหว่างที่นำพลังงานลงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ความร้อนที่เกิดขึ้นในชั้นไขมันนั้น อุณหภูมิบางครั้งอาจถึง 50-60 องศาเซลเซียส ซึ่งความร้อนนี้จะสามารถแพร่กระจายขึ้นด้านบนที่เป็นชั้นหนังแท้เพื่อเกิดการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวดู กระชับและอิ่มฟู มากขึ้น
    นอกจากนี้ความร้อนที่แพร่กระจายลงสู่ด้านล่าง ไปยังชั้น Smas หรือชั้นกล้ามเนื้อ จะเกิดการหดตัวของชั้น Smas จึงส่งผลให้ใบหน้า ยกกระชับ ขึ้นเมื่อทำ EndoliftX ค่ะ
  • ผลลัพธ์: นอกจากจะช่วยยกกระชับผิวหน้าและกระตุ้นคอลลาเจนแล้ว Endolift ยังมีคุณสมบัติพิเศษในการ สลายไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดได้ ในส่วน ที่ Ulthera เข้าไม่ถึง เช่น รอบดวงตา ถุงใต้ตา หนังตาส่วนเกิน บริเวณหน้าแก้ม เหนียง คางสองชั้น คอ ไปพร้อมกัน ทำให้ใบหน้าดูเรียวเล็กลงและมีกรอบหน้าคมชัดขึ้น อยู่นาน 2-3 ปี
  • ข้อดี: ยกกระชับและสลายไขมันส่วนเกินใต้ผิวได้ในคราวเดียวกัน แผลเล็กมาก พักฟื้นน้อย ผลลัพธ์ค่อนข้างถาวรสำหรับไขมันที่ถูกสลายไปแล้ว
  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยร่วมกับมีไขมันส่วนเกินบริเวณใบหน้าและลำคอ และต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจน

ยกกระชับ EndoliftX

ภาพประกอบการโฆษณาเท่านั้น

EndoliftX เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด

หัตถการไหน ที่ยกกระชับถึงชั้น SMAS แบบผ่าตัด

การยกกระชับผิวหน้าถึงชั้น SMAS แบบผ่าตัด ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานที่สุด มีหลักๆ ที่นิยมและเป็นที่ยอมรับในวงการศัลยกรรมตกแต่ง มีดังนี้ค่ะ

Endo-face lift หรือ การผ่าตัดดึงหน้าแบบส่องกล้อง

  • หลักการทำงาน: เป็นการผ่าตัดดึงหน้าที่มีเทคนิคที่ซับซ้อนน้อยกว่า Facelift ไม่มีการตัดหนังส่วนเกินชั้นนอกออก แต่ยังคงเน้นการยกกระชับโครงสร้างภายใน โดยแพทย์จะทำการกรีดแผลขนาดเล็กประมาณ 2-3 ซม. บริเวณในไรผม จากนั้นจะใช้ กล้อง Endoscope ขนาดเล็กสอดเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อช่วยให้มองเห็นเนื้อเยื่อและชั้น SMAS ได้อย่างชัดเจน พร้อมกับใช้เครื่องมือผ่าตัดขนาดเล็กทำการเลาะ และยกชั้น SMAS ให้กระชับขึ้น
  • ชั้น SMAS: กล้อง Endoscope ช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นชั้น SMAS และโครงสร้างเส้นประสาทได้อย่างละเอียด ทำให้สามารถทำการยกและตรึงได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย โดยไม่ต้องเปิดแผลกว้างเหมือน Facelift ค่ะ
  • ผลลัพธ์: ช่วยยกกระชับผิวหน้าส่วนกลางและส่วนล่าง เพื่อยกหางตาเล็กน้อย และแก้ไขปัญหาแก้มหย่อนได้ดี ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
  • ข้อดี: แผลเล็กกว่า Facelift ฟื้นตัวเร็วกว่า ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของเส้นประสาทบางเส้นลงได้ (เนื่องจากมองเห็นโครงสร้างได้ชัดเจนด้วยกล้อง)
  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวหน้าส่วนกลางและส่วนล่างระดับปานกลาง เช่น มีแก้มหย่อนไม่มาก ผิวไม่กระชับ ไม่มีผิวหนังด้านนอกส่วนเกิน และต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องการผ่าตัดใหญ่ หรือมีรอยแผลบนใบหน้าที่เห็นได้ชัดเจน

Face lift หรือ การผ่าตัดดึงหน้า

  • หลักการทำงาน: เป็นการผ่าตัดศัลยกรรมโดยแพทย์จะทำการกรีดบริเวณไรผมหรือขอบใบหู จากนั้นจะทำการ ยกและดึงชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นพังผืดที่รองรับกล้ามเนื้อและผิวหนังขึ้นไป พร้อมกับกำจัดไขมันส่วนเกินและตัดผิวหนังส่วนเกินที่หย่อนคล้อยออกไป
  • ชั้น SMAS: เป็นหัวใจสำคัญของการทำ Facelift ที่แท้จริง การยกกระชับชั้น SMAS นี้ทำให้เกิดการยกพยุงโครงสร้างใบหน้าจากภายในอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่การดึงผิวหนังชั้นนอก ซึ่งส่งผลให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและอยู่ได้ยาวนานกว่า
  • ผลลัพธ์: ช่วยแก้ไขปัญหาผิวหน้าและลำคอที่หย่อนคล้อยที่มีระดับปานกลางถึงมาก ริ้วรอยลึก ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก มุมปากตก และเหนียงหรือคางสองชั้น ทำให้ใบหน้าและลำคอดูอ่อนเยาว์ลงอย่างเห็นได้ชัด กรอบหน้าคมชัดขึ้น
  • ข้อดี: ให้ผลลัพธ์การยกกระชับที่ ชัดเจนที่สุดและยาวนานที่สุด เมื่อเทียบกับหัตถการอื่นๆ ช่วยแก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ

*อีกทั้งการทำ face lift หรือผ่าตัดดึงหน้า ที่ BEAMS Plastic Sugery เรามีเทคนิคเฉพาะ ของการซ่อนแผล Invisible Lock ที่คิดค้นโดย หมอบีม (พญ.คุณาภรณ์ ตั้งธนะวัฒน์) ศัลยแพทย์ตกแต่งใบหน้าเฉพาะทาง ว.48073

เทคนิคนี้จะเข้ามาช่วยในเรื่องของการซ่อนรอยแผล ของการทำศัลยรรมดึงหน้า (face lift) ทำให้แผลกลมกลืนกับผิวจนสังเกตได้ยาก อีกทั้งเทคนิคนี้นอกจากจะช่วยให้แผลเรียบเนียน แถมยังลดการบวมช้ำ มีระยะพักฟื้นที่น้อย และช่วยให้การหายของแผลเร็วขึ้นอีกด้วยค่ะ

เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงมาก ผู้ที่เคยยกกระชับด้วยหัตถการแบบไม่ผ่าตัดแต่ไม่มีประสิทธิภาพหรือไม่เห็นผล , ผู้ที่เคยแก้ไขโครงสร้างใบหน้า รวมไปถึงผู้มีอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและอยู่ได้นานเป็น 5-10 ปี

หัตถการอื่นที่ไม่ได้ดึงชั้น Smas จะมีประสิทธิภาพไหม?

แน่นอนค่ะ หัตถการที่ไม่ได้เน้นการดึง หรือยกกระชับจากชั้น SMAS โดยตรง ก็ยังมีประสิทธิภาพในการยกกระชับผิวได้ แต่จะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและความต้องการของผู้เข้ารับบริการค่ะ

โดยทั่วไปแล้ว หัตถการที่ไม่ได้ยกกระชับถึงชั้น Smas หัตถการเหล่านี้จะเน้นการทำงานใน ชั้นหนังแท้ (Dermis) หรือ ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) เพื่อกระตุ้นคอลลาเจน ลดไขมัน หรือสร้างโครงข่ายพยุงผิวให้แน่นกระชับขึ้น แม้จะไม่ใช่การดึง SMAS แต่ก็สามารถทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์และกระชับขึ้นได้ เช่น

  • Thermage เน้นความแน่นกระชับของผิวโดยรวมและลดริ้วรอยตื้นๆ
  • ร้อยไหม เน้นการยกกระชับแบบทันทีในระดับที่ค่อนข้างชัดเจน และกระตุ้นคอลลาเจนรอบๆของไหม
  • ฟิลเลอร์ เน้นการเติมเต็มและยกพยุงโครงสร้างใบหน้า
  • Botox เน้นการลดริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า และการปรับรูปหน้าบางส่วน

ดังนั้น การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพผิวและปัญหาของคุณอย่างละเอียด จะช่วยให้เลือกหัตถการที่ตอบโจทย์และมีประสิทธิภาพสูงสุดนะคะ [คลิกเพื่อปรึกษาแพทย์ของเรา]

ข้อควรรู้ของการยกกระชับผิว ชั้น Smas

เลือกศัลยแพทย์ตกแต่งผู้เชี่ยวชาญ นี่คือปัจจัยสำคัญที่สุด ที่คุณต้องเลือกศัลยแพทย์ที่มีความรู้และมีประสบการณ์เฉพาะทางในการยกกระชับ หรือการผ่าตัดดึงหน้า ต้องเป็นแทพย์ที่มีความรู้ ความเข้าใจกายวิภาคของใบหน้าอย่างละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงการทำอันตรายต่อเส้นประสาท เส้นเลือด และโครงสร้างสำคัญอื่นๆ

สรุปบทความ

ชั้น SMAS คือโครงสร้างเนื้อเยื่อใต้ผิวที่มีบทบาทสำคัญในการพยุงกล้ามเนื้อและผิวหนัง ช่วยให้ใบหน้ากระชับและดูอ่อนเยาว์ได้จริง แต่การยกกระชับถึงชั้น SMAS ไม่ว่าจะด้วยเทคนิคไม่ผ่าตัด หรือการผ่าตัดดึงหน้า (Facelift) ไม่ว่าจะเป็นการยกกระชับชั้น SMAS แบบใด

สิ่งสำคัญที่สุดคือการ ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์และใบอนุญาตที่ถูกต้อง และเลือกทำใน คลินิกหรือโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน เพื่อประเมินสภาพผิว ปัญหา ข้อจำกัด และทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นอย่างถ่องแท้ก่อนตัดสินใจนะคะ

หากคุณรู้สึกว่ามีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย ต้องการปรึกษาหัตถการที่เหมาะสม รวมถึงออกแบบผลลัพธ์ร่วมกัน ที่ BEAMS plastic surgery คุณสามารถ คลิกที่นี่ ปรึกษาแพทย์ของเรา ค่ะ